ปัจจุบันอัตราการเติบโตของธุรกิจ E-commerce ทั่วโลกมีแนวโน้มการเติบโตขึ้นอย่างมากถึง 40% (อ้างอิง https://www.busandtruckmedia.com/28920/) การเกิดวิกฤต Covid-19 ในปี 2563 ทำให้การซื้อสินค้าออนไลน์ขยายตัว ผู้คนหันมาซื้อสินค้าทางออนไลน์กันมากขึ้น หลายธุรกิจมีการปรับตัวมาทำธุรกิจทางออนไลน์กันอย่างต่อเนื่อง ในปี 2020 ตลาดออนไลน์อันดับต้นๆของโลก อย่าง Amazon มียอดขาย กว่า 390 billion U.S. dollar ซึ่งแสดงในเห็นว่าการช้อปออนไลน์กลายเป็น New Normal ในการใช้จ่ายของคนในยุคนี้  สิ่งต่างๆเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจโลจิสติกส์ เนื่องจากประสบการณ์ช้อปออนไลน์ที่ดี ต้องมาควบคู่กับการขนส่งที่ดี มีมาตรฐาน จึงถือเป็นโอกาสสำคัญในการขยายตลาดและฐานลูกค้าของบริษัทขนส่งพัสดุหลายๆ เจ้า

ฟาสต์ชิป ผู้นำบริการขนส่งพัสดุระหว่างประเทศแบบครบวงจร จับมือเป็นพันธมิตรกันในฐานะ Authorized Reseller กับบริษัท อาราเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการระบบโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าชั้นนำของโลก จากสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ โดยความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านธุรกิจขนส่งพัสดุไปต่างประเทศของฟาสต์ชิป และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการดำเนินงานของอาราเม็กซ์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

โดยภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ฟาสต์ชิปตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าในการส่งพัสดุไปต่างประเทศ จากเดิมที่การส่งพัสดุไปต่างประเทศเป็นเรื่องค่อนข้างยุ่งยาก เพราะต้องขนพัสดุไปทำรายการที่สาขาเองซึ่งไม่ตอบโจทย์นักสำหรับผู้ประกอบการยุคใหม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาออกมาส่งพัสดุด้วยตนเอง ให้เปลี่ยนมาเป็นความสะดวกสบาย สามารถทำรายการขนส่งได้จากทุกที่ ดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์ 100 % ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบราคาค่าขนส่งได้ทันทีจากในเว็บไซต์ และไม่ต้องวุ่นวายดำเนินเรื่องเอกสารเองให้ยุ่งยากเพียงกรอกข้อมูลผู้ส่งต้นทาง และผู้รับปลายทาง แล้วชำระเงิน พัสดุก็พร้อมส่งออก พร้อมด้วยบริการเข้ารับพัสดุถึงหน้าบ้านแบบไม่มีขั้นต่ำ ซึ่งจะช่วยให้การส่งพัสดุกลายเป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้ว เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่

โดยเชื่อมั่นว่าภายใต้ความร่วมมือนี้จะสามารถสร้างสรรค์บริการส่งพัสดุไปต่างประเทศที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นไป โดยปัจจุบันฟาสต์ชิปมีพันธมิตรด้านขนส่งพัสดุต่างประเทศมากที่สุดถึง 12 ราย ให้บริการทั้งส่งพัสดุแบบด่วน และแบบประหยัด ครอบคลุมกว่า 200 ประเทศทั่วโลก

ไปรษณีย์ไทย ยังคงมุ่งพัฒนาบริการไปรษณีย์ระหว่างประเทศเพื่อผู้ใช้บริการทุกคน แม้ว่าในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID – 19 จะส่งผลให้การขนส่งระหว่างประเทศหลายปลายทางได้รับผลกระทบทั้งทางภาคพื้นและทางอากาศ เช่น ไม่สามารถแลกเปลี่ยนถุงไปรษณีย์ทางภาคพื้นระหว่างประเทศได้ เนื่องจากการปิดชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน และมาตรการป้องกัน COVID-19 บางประเทศ จึงขอให้ผู้ใช้บริการตรวจสอบประเทศปลายทางและบริการที่เปิดให้บริการได้ที่ www.Thailandpost.co.th

นายกาหลง ทรัพย์สอาด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานปฏิบัติการ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด รักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ไปรษณีย์ในฐานะหน่วยงานด้านการขนส่งและสื่อสารของไทย นอกจากจะให้บริการด้วยความเชี่ยวชาญของบุรุษไปรษณีย์ที่มีกว่า 20,000 คน ครอบคลุมทุกพื้นที่ของไทยแม้จะอยู่ในช่วงของการระบาด COVID-19 ยังเดินหน้าให้บริการระหว่างประเทศ สถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่จะทำให้ทุกภาคส่วนต้องเข้มงวดด้านมาตรการสุขอนามัยมากขึ้น ซึ่งการคมนาคมทางอากาศ เช่น สายการบิน ก็มีการลดเที่ยวบิน ทำให้กระทบต่อกิจกรรมการขนส่งสิ่งของบางส่วนไปยังปลายทางต่างประเทศด้วย โดยเปิดบริการไปรษณีย์ระหว่างประเทศทางอากาศและทางภาคพื้นรวม 59 ปลายทาง บริการโลจิสโพสต์ระหว่างประเทศ (ส่งของชิ้นใหญ่น้ำหนักเกิน 20 กิโลกกรัม) 31 ปลายทาง และอีก 107 ปลายทางที่ให้บริการคูเรียร์โพสต์ ซึ่งเป็นการฝากส่งสินค้าไปกับพันธมิตรเอกชน ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบประเทศปลายทางและบริการที่เปิดให้บริการในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยสามารถตรวจสอบได้ที่ www.Thailandpost.co.th

จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ทั่วโลกต้องเผชิญกับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง บริษัทต่าง ๆ รวมถึง BEST Group (เบสท์ กรุ๊ป) พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาเสถียรภาพ ความราบรื่นของเครือข่ายในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และซัพพลายเชนทั่วโลก ล่าสุด เบสท์ กรุ๊ป ได้เปิดตัวร่วมธุรกิจกับ BG LiNK (บีจี ลิ้งค์) ภายใต้ชื่อบริษัท บีจี ลิ้งค์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจขนส่งพัสดุขนาดเล็กข้ามพรมแดน (Cross Border) จากประเทศไทยไปยัง 34 ประเทศทั่วโลกอย่างเป็นทางการ ด้วยบริการแบบครบวงจรจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน มาเลเซีย สิงคโปร์ ยุโรป และเส้นทางอื่น ๆ อีกมากมาย

มร.เจสัน เชียน ผู้จัดการทั่วไปภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประธานกรรมการบริษัท เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า BEST Group ได้ขยายธุรกิจเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2019 และขยายเครือข่ายครอบคลุมทั่วภูมิภาค รวมทั้งร่วมธุรกิจเปิดบริการส่งพัสดุข้ามพรมแดนที่เชื่อมต่อจากจีนสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนที่ เบสท์ กรุ๊ป จะส่งมอบพัสดุจำนวนมหาศาลกว่า 74 ล้านชิ้นเข้าสู่แถบภูมิภาคนี้

ไปรษณีย์ไทย เดินหน้าพัฒนารถขนส่งควบคุมอุณหภูมิ เพื่ออำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าประเภทอาหาร ผลผลิตทางการเกษตร และของสดให้สามารถคงความสดใหม่ และคุณภาพตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง พร้อมช่วยลดต้นทุนด้านค่าขนส่งให้กับผู้ประกอบการ และเกษตรกรในการส่งของไปยังพื้นที่ห่างไกล รวมถึงเพิ่มความสะดวกให้กับคนไทยในการสั่งซื้อสินค้าทั่วประเทศได้อย่างมั่นใจในช่วง COVID – 19 ที่คนขายไม่สามารถขายของได้ คนซื้อไม่กล้าออกไปเดินตลาดเพราะกลัวติดเชื้อไวรัส COVID – 19 ไปรษณีย์ไทยจึงได้นำร่องบริการขนส่งสินค้าหลากหลายประเภท เช่น แหนมเนืองและหมูยอของ จ.อุดรธานี ไก่ย่างเขาสวนกวางของ จ.ขอนแก่น พุทรานมสด จ.กาฬสินธุ์  และคาดว่าจะให้บริการครบทุกจังหวัด ในปี 64  

คุณกาหลง ทรัพย์สอาด ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ รักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์ COVID–19 ประชาชนทั่วทุกภูมิภาคมักจะมีการสั่งซื้อและฝากส่งสินค้าประเภทอาหารแห้ง อาหารสด และอาหารแปรรูปกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อให้สอดรับกับความต้องการและสร้างความพึงพอใจในด้านดังกล่าว ไปรษณีย์ไทยจึงได้พัฒนาระบบขนส่งผ่านรถขนส่งควบคุมอุณหภูมิที่มีศักยภาพในการควบคุมอุณหภูมิได้ถึง-18 องศาเซลเซียส เพื่ออำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าประเภทอาหาร ผลผลิตทางการเกษตร และของสดให้สามารถคงความสดใหม่ และคงคุณภาพตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางซึ่งศูนย์กระจายสินค้าของไปรษณีย์ไทย 15 จุด  ในปัจจุบันได้เริ่มใช้รถควบคุมอุณหภูมิแล้ว เช่น การบริการขนส่งสินค้าประเภทอาหาร ผลผลิตทางการเกษตร และของสดต่างๆ โดยนำร่องที่จังหวัดอุดรธานี หนองคาย และให้บริการขนส่งสินค้าหลากหลายประเภทแล้ว เช่น แหนมเนืองและหมูยอของ จ.อุดรธานี ไก่ย่างเขาสวนกวางของ จ.ขอนแก่น รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร เช่น พุทรานมสดของ จ.กาฬสินธุ์ ส้มเขียวหวานของ จ.แพร่ ส้มสายน้ำผึ้งของ จ.เชียงใหม่ และอาหารทะเล เช่น ปลากระพงขาว กุ้ง เนื้อ จากแพลตฟอร์ม ohlalashopping 

แฟลช เอ็กซ์เพรส ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุสัญชาติไทยและผู้ให้บริการด้านอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร ร่วมกับ ช้อปปี้ ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไต้หวันประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการในการร่วมส่งมอบบริการการขนส่งตอบรับการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยในช่วงเวลาแห่งการจับจ่ายส่งท้ายปี กับแคมเปญ  Shopee 12.12 Birthday Sale

คุณคมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุสัญชาติไทยและผู้ให้บริการด้านอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร กล่าวว่า การจับมือเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการกับช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด ถือเป็นการตอกย้ำว่าแฟลชพร้อมให้บริการรับส่งพัสดุแก่ผู้ใช้งานของช้อปปี้ เพื่อให้มั่นใจว่าพัสดุทุกชิ้นเดินทางไปถึงมือผู้รับอย่างรวดเร็วและปลอดภัย โดยนำจุดเด่นของทั้งสองบริษัทผนวกเข้าด้วยกัน เพื่อรองรับการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซ ส่งเสริมศักยภาพของธุรกิจออนไลน์  และหนุนให้เกิด Ecosystem & Supply Chain ครบวงจร” ด้วยสังคมในยุคปัจจุบันที่ผู้คนต่างก็ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตวิถีใหม่ ส่งผลให้การซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น ถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างและขยับขยายธุรกิจ ตลอดจนเกิด SMEs รายใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น เมื่ออัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซสูงขึ้น ส่งผลให้จำนวนพัสดุเพิ่มขึ้นตามมา ดังนั้นการวางแผนและการบริหารจัดการซัพพลายเชนจึงเป็นกระบวนการสำคัญเพื่อยังคงรักษามาตรฐานในการบริการให้ดีอยู่เสมอ

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย เสริมทัพจับมือกับ ช้อปปี้ ผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน ตอกย้ำการเป็นผู้ให้บริการรับส่งพัสดุให้กับผู้ใช้งานของช้อปปี้ เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดอีคอมเมิร์ซ เสริมศักยภาพธรุกิจออนไลน์ สนับสนุนการสร้างโลกอีคอมเมิร์ซให้เป็นพื้นที่สำหรับทุกคน

คุณบรูซ หลิว (MR. BRUCE LIU) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย เผยถึงความร่วมมือในครั้งนี้ ว่า เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งในโอกาสเฉลิมฉลอง การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกับ ช้อปปี้ ครบ 1 ปี ในปี 2020  ต้องยอมรับว่าพฤติกรรมการช้อปปิ้งออนไลน์ในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งกระบวนการขนส่งพัสดุ ถือเป็นส่วนสำคัญในการตอบสนองการช้อปปิ้งออนไลน์ และด้วยบริการที่ครบวงจรของ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส เรามั่นใจว่าเราสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ช้อปปี้ได้ช้อปอย่างสนุกสนาน เพลิดเพลิน แบบไม่มีขีดจำกัด พร้อมบริการจัดส่งพัสดุทั่วประเทศตลอด 365 วันไม่มีวันหยุด ทำให้เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส มีอัตราการใช้บริการที่สูงขึ้นจากเดิมแบบก้าวกระโดด

คุณเควิน เบอร์เรล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีเอชแอล ซัพพลายเชน กลุ่มธุรกิจประเทศไทย เปิดเผยว่า การจับมือกับช้อปปี้ (Shopee) นั้นจะขยายขอบเขตการทำงานเพื่อมอบบริการครอบคลุมมากกว่าด้านโลจิสติกส์ ซึ่ง บริษัทฯ เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่สนับสนุนช้อปปี้ได้อย่างครบวงจร ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีของดีเอชแอลที่เชื่อมต่อระหว่างคลังสินค้าและระบบบริการขนส่ง เรามั่นใจว่าจะสามารถบริหารจัดการยอดการสั่งซื้อที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงแคมเปญ 10.10 Brands Festival ได้อย่างดีที่สุด และเชื่อมั่นว่าดีเอชแอลจะส่งมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของช้อปปี้”

“ธุรกิจอีคอมเมิร์ซถือเป็นทางเลือกยอดนิยมในกลุ่มนักช้อปชาวไทย โดยมูลค่ารวมการใช้จ่ายระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภคของเมืองไทยในปีนี้มีมูลค่าราว 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.65 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 14% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 และจากรายงานของ App Annie ระบุว่า ช้อปปี้ยังคงครองอันดับหนึ่งในหมวด Shopping ตามยอดการดาวน์โหลดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2563 และขึ้นแท่นติดอันดับหนึ่งในสามของโลกในกลุ่มธุรกิจบริการประเภทเดียวกัน”

คุณจรัสพักตร์ การปลื้มจิตต์ ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจแฟลช ให้ความเห็นถึงการจับมือกันในครั้งนี้ว่า “การเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปี 2563 ที่ผ่านมา ส่งให้ตลาด E-Commerce เติบโตมากกว่า 35% ซึ่งแนวโน้มในปี 2564 ภาพรวมของตลาด E-Commerce ยังมีโอกาสเติบโตได้อีก ด้วยเหตุนี้ แฟลช เอ็กซ์เพรส ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุสัญชาติไทยและอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร จึงเร่งหาพาร์ทเนอร์ที่มีศักยภาพเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าผู้ใช้บริการ ด้วยเทรนด์ของลูกค้าที่ยังเลือกไปส่งพัสดุด้วยตนเองที่ Shop หรือจุด Drop Off ใกล้บ้าน คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 68% ต่อวัน แฟลช เอ็กซ์เพรส เล็งเห็นว่าบิ๊กซี ซึ่งเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ของคนไทย มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ มีศักยภาพและเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นจุด Drop Off อีกแห่งของแฟลช เอ็กซ์เพรส”

“การจับมือเป็นพันธมิตรกับบิ๊กซี ถือเป็นการร่วมงานกับคู่ค้าทางธุรกิจในสายรีเทลครั้งแรกของ แฟลช เอ็กซ์เพรส ส่งผลให้มีช่องทางในการให้บริการลูกค้าได้หลากหลายยิ่งขึ้น โดยเริ่มนำร่องจุดบริการ Drop Off จำนวน 50 สาขาภายในศูนย์การค้าบิ๊กซี และ ตั้งเป้าขยายการให้บริการทั้งในศูนย์การค้าบิ๊กซี และมินิบิ๊กซี มากกว่า 1000 สาขาทั่วประเทศ” 

 

ทั้งนี้ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ยังเผยผลการศึกษาฉบับใหม่ที่มีชื่อว่า “The Ultimate B2B E-commerce Guide: Tradition is out. Digital is in” ซึ่งคาดการณ์การเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจ B2B อีคอมเมิร์ซ โดยระบุว่าภายในปี 2568 ราว 80% ของการซื้อขายแบบ B2B ระหว่างซัพพลายเออร์และลูกค้าองค์กรจะดำเนินการผ่านช่องทางดิจิทัล นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดที่ส่งผลให้มีการปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล (digitalization) อย่างรวดเร็ว และพฤติกรรมการซื้อของคนรุ่นมิลเลนเนียล (Millennial) ที่คุ้นเคยกับการใช้งานเทคโนโลยี ได้กลายเป็นผู้ตัดสินใจในกระบวนการทำธุรกิจแบบ B2B ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นการเติบโตของอีคอมเมิร์ซทั่วโลก

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง 

โดย…น้าเช

อ่านข่าวสารหรือความเคลื่อนไหวในแวดวงนี้ก่อนใครได้ที่นี่

เฟซบุ๊ก : BUS & TRUCK

เว็บไซต์ข่าว : www.BusAndTruckMedia.com

เว็บไซต์งาน : www.BusAndTruckExpo.com

Advertisement