ในยุคที่ธุรกิจถูก Disruption ด้วยเทคโนโลยี ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงาน เจ้าของกิจการยักษ์ใหญ่ หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ เราทั้งหลายต่างก็รู้สึกถึงผลกระทบของ Digital disruption แม้แต่กับกิจกรรมที่ธรรมดาที่สุดอย่างการซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี ก็ทำให้ลักษณะการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าแทบจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียว
ปรากฏการณ์ที่มากับ Digital Disruption
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เป็นความท้าทายแค่กับธุรกิจขนาดเล็กเท่านั้น ขณะเดียวกันยังส่งผลที่รุนแรงกับบรรดาแบรนด์ใหญ่ระดับโลกที่เคยมีรายได้มหาศาลและรุ่งเรืองในอดีตมาแล้ว ซึ่งในช่วงไม่กีปีที่ผ่านมา ได้เกิดปรากฏการณ์ความเป็นไปของบริษัทต่างๆ ทั่วโลกเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่บางบริษัทที่ปรับตัวไม่ได้กลับต้องปิดตัวลงไป ซึ่งมีให้เห็นแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทกล้องถ่ายรูปที่เคยเป็นเจ้าตลาดในอดีต หรือค่ายโทรศัพท์ที่เคยขึ้นครองเป็นผู้นำตลาดเกือบ 20 ปีก่อนอย่างโทรศัพท์แบรนด์ดังก็ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่มีใครคาดถึง เพราะการเข้ามาของโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่มีเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์กับพฤติกรรมผู้บริโภคได้มากกว่า
ระหว่าง Digital Disruption กับ Digital Transformation
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราคงได้ยินคำว่ายุคอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต มาใช้ในกระบวนการผลิตสินค้า จุดเด่นที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือสามารถเชื่อมความต้องการของผู้บริโภคแต่ละรายเข้ากับกระบวนการผลิตสินค้าได้โดยตรง อีกทั้งเครื่องจักรหรือระบบอัตโนมัติยังสามารถเชื่อมโยงเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเครือข่ายผ่ายอินเตอร์เน็ต จึงสามารถแบ่งปันข้อมูลข่าวสารถึงกันหมด รวมทั้งสามารถใช้ทรัพยากรบางส่วนร่วมกันได้ ซึ่งช่วงนี้เองที่เกิดความปั่นป่วนของเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Disruption) อันเป็นผลมาผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 และคำว่า ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น (Digital Transformation) คือ การเปลี่ยนองค์กรและสังคมจากยุค 3.0 ไปสู่ 4.0 นั่นเอง
Digital Transformation สำคัญกับธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์อย่างไร
หลังการเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ภาคการผลิตทั่วโลกมีการปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภค ภาคการขนส่งและโลจิสติกส์เองก็มีการปรับตัวด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้จากผู้ให้บริการเทคโนโลยีโซลูชันสำหรับธุรกิจขนส่ง ได้พัฒนาโซลูชันที่ใช้งานในภาคขนส่งและโลจิสติกส์ ให้มีคุณสมบัติมากกว่าระบบ GPS ที่ติดตามรถทั่วไป โดยใช้รูปแบบ IoT (Internet of Things) ในการเชื่อมต่อและสื่อสารกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งภายในรถ ที่สามารถตรวจสอบและป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงอันตรายในระหว่างการขับรถได้
โดยระบบดังกล่าว ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของผุ้ประกอบการโลจิสติกส์ โดยสามารถแจ้งเตือนคนขับได้แบบเรียลไทม์ และเก็บข้อมูลของระบบเครื่องยนต์ในการใช้รถตามการใช้งานจริง เพื่อประเมินสภาพรถขนส่งและวางแผนการบำรุงรักษารถ รวมทั้ง ยังแสดงรายงานผลในรูปแบบต่างๆ สำหรับสรุปผลการวิ่งงานขนส่ง พร้อมรายงานประเมินคะแนนพฤติกรรมผู้ขับขี่ ตลอดจนคำนวณค่าใช้จ่ายในการใช้รถให้ผู้ประกอบการได้วางแผนดำเนินธุรกิจง่ายดายยิ่งขึ้น
ปัจจุบันเทคโนโลยี Telematics และ IoT ได้เข้ามาสร้างจุดเปลี่ยนสำคัญให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่ง และเป็นเทรนด์ที่ต่อยอดนวัตกรรมการขนส่ง ซึ่งรถเพื่อการพาณิชย์หลายค่ายได้ทำเป็นระบบหรืออุปกรณ์พื้นฐานที่ประกอบมาพร้อมกับตัวรถจากโรงงานผลิต ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดีในเรื่อง ความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน และการบำรุงรักษาหรือชะลอความสึกหรอของเครื่องยนต์
สำหรับ Digital Transformation อาจเป็นความความท้าทายสำหรับธุรกิจทุกขนาด หรืออาจเรียกว่าอาจลำบากสำหรับองค์กรขนาดใหญ่เลยก็ว่าได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงระบบภายในไปสู่ดิจิตอลย่อมส่งผลกระทบต่อทั้งองค์กร พนักงาน และมาตรฐานในการดำเนินธุรกิจอย่างแน่นอน
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
- IoT สำคัญอย่างไร ในธุรกิจขนส่งยุคปัจจุบัน
- ทำธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ยุคใหม่ ต้องปรับตัวอย่างไร ถึงจะไปรอด
- จับชีพจรธุรกิจขนส่งปี 65 ผู้ประกอบการต้องกล้าปรับตัว
- ทำธุรกิจขนส่งในเมืองไทย “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” หรือ “ปลาเร็วกินปลาช้า” ต้องแบบไหนถึงได้เปรียบ
อ่านข่าวสารหรือความเคลื่อนไหวในแวดวงนี้ก่อนใครได้ที่นี่
เฟซบุ๊ก : BUS & TRUCK
เว็บไซต์ข่าว : www.BusAndTruckMedia.com
เว็บไซต์งาน : www.BusAndTruckExpo.com