NEDA ลุยยกระดับถนน NR67 ระยะทาง 134 กม. วางงบลงทุนกว่า 983 ล้าน หวังเชื่อมโยงคมนาคมไทย-กัมพูชา คาดตอกเสาเข็มกลางปี 66 แล้วเสร็จปี 68 หนุน “การค้า-การลงทุน-การท่องเที่ยว”

นายพีรเมศร์ วุฒิธรเนติรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) หรือ สพพ. (เนด้า) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบให้รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาร่วมกันผลักดันการยกระดับและปรับปรุงถนน NR67 เชื่อมโยงจากประเทศไทยบริเวณช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ และช่องจวม อ.อันลองเวง จ.อุดรเมียนเจย ไปยังเมืองเสียมราฐ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของกัมพูชา ระยะทางรวม 134.68 กิโลเมตร (กม.)

ทั้งนี้การพัฒนาโครงการ NR67 จะดำเนินการในรูปแบบเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนของ สพพ. ในวงเงิน 983 ล้านบาท โดยกำหนดให้มีการใช้วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายใต้โครงการจากไทยไม่น้อยกว่า 50% ของมูลค่าสัญญา รวมทั้งให้ผู้รับเหมาก่อสร้างและวิศวกรที่ปรึกษาจากไทยเป็นหลักในการดำเนินโครงการ คาดว่า จะเริ่มก่อสร้างในช่วงกลางปี 2566 ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี หรือแล้วเสร็จภายในปี 2568

ถนน NR67 เริ่มก่อสร้างเส้นทางครั้งแรกในปี 2550 เพราะมีการขนส่งวัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรจากฝั่งไทยเข้าไปดำเนินการก่อสร้าง โดยโครงการแล้วเสร็จและเริ่มใช้ประโยชน์ในปี 2552 ซึ่งมูลค่าการค้าและปริมาณจราจรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกรณีที่ยังไม่มีโครงการ อาทิ เมื่อปี 2549 (ก่อนมีโครงการครั้งแรก) มีมูลค่านำ–ส่งออก รวม 291.99 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2564 มีมูลค่านำเข้าและส่งออก รวม 2,085.80 ล้านบาท จึงนับว่าเป็นการส่งเสริมให้มีการขยายตัวด้านการค้าชายแดน การขนส่งสินค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวทั้งในไทยและกัมพูชามากขึ้นโดยเฉพาะพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการโดยมูลค่าการค้า สภาพปริมาณจราจร ปริมาณยานพาหนะบริเวณจุดผ่านแดนช่องสะงำได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

โดยการยกระดับและปรับปรุงดังกล่าว เป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน รองรับปริมาณการจราจร กระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนการเชื่อมโยงเส้นทางในประเทศกัมพูชาระหว่างเมืองที่สำคัญ ได้แก่ พนมเปญ–เสียมราฐ–บันเตียเมียนเจย ผ่านทางหลวงหมายเลข 6 (NR6) ของกัมพูชา โดยพัฒนาการเชื่อมโยงเส้นทางระหว่างประเทศที่สำคัญตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (SEC) ของกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) และทางหลวงอาเซียนสาย AH1 ผ่านทางหลวงหมายเลข 5 (NR5) (กรุงพนมเปญ–ปอยเปต)

อีกทั้งยังสามารถเชื่อมโยงกับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกทางการค้า และการลงทุนในภูมิภาครวมทั้งส่งเสริมบทบาทของไทยในการให้ความร่วมมือ เพื่อการพัฒนาในอนุภูมิภาค เพิ่มโอกาสในการขยายการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน

โครงการ NR67 จะทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจตลอดอายุของโครงการในแง่ของมูลค่าการประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้ยานพาหนะ มูลค่าประหยัดเวลาในการเดินทาง และมูลค่าจากการลดค่าใช้จ่ายจากอุบัติเหตุรวมประมาณ 150 ล้านบาทต่อปี กระตุ้นการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวมากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นจากการยกระดับ NR67 โดยเฉพาะชาวกัมพูชา จำนวน47,833 คน หรือ 10,229 ครอบครัว ที่อาศัยอยู่ตามแนวเส้นทาง จำนวน 38 หมู่บ้าน 12 ตำบล 4 อำเภอ ของ จ.อุดรเมียนเจย และจ.เสียมราฐ สามารถเข้าถึงสถานศึกษาและสถานบริการสาธารณสุขตามแนวเส้นทางได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ถนนสาย NR67 จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือของผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับกัมพูชาในการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวร่วมกัน เช่น เส้นทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจากอีสานใต้ไปยังกัมพูชา (บุรีรัมย์–สุรินทร์–ศรีสะเกษ–เสียมราฐ) เป็นกลุ่ม ๆ ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ แหล่งโบราณคดีนครวัด หรือแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ รวมทั้งการผลักดันให้เกิดการพัฒนาเส้นทางเดินรถระหว่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวตลอดแนวเส้นทาง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และการให้บริการรถโดยสาร เป็นต้น

 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

โดย…เทลเลอร์

อ่านข่าวสารหรือความเคลื่อนไหวในแวดวงนี้ก่อนใครได้ที่นี่

เฟซบุ๊ก : BUS & TRUCK

เว็บไซต์ข่าว : www.BusAndTruckMedia.com

เว็บไซต์งาน : www.BusAndTruckExpo.com

Advertisement