เมื่อพูดถึงธุรกิจวิ่งงานถมดิน ช่วงหน้าแล้งเรามักจะเห็นรถดัมพ์หรือรถบรรทุกดินวิ่งในต่างจังหวัดกันเป็นอย่างมาก และจะเห็นรถขุดดิน (แบคโฮ) รถดัมพ์ 6 ล้อ หรือ 10 ล้อขนดิน วิ่งกันสนั่นหวั่นไหว ในพื้นที่ชนบทหรือตามหัวเมืองต่างๆ ที่กำลังพัฒนา ซึ่งคอลัมน์นี้ทีมงาน BUS & TRUCK ขอหยิบยกเอาเรื่องราวในอดีตที่เคยมีผู้ประกอบการขนส่งที่ใช้รถใหญ่ในการรับงานจากภาครัฐมาเล่าให้ฟัง

“ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่บรรดาผู้ประกอบการขนส่งต่างต้องการมากที่สุดในการลงทุนทำธุรกิจคือ รถใหญ่ที่ใช้ต้องประหยัดน้ำมัน และไม่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หากทำได้เช่นนี้แล้ว ก็จะมีแต่ผลกำไรที่รออยู่ตรงหน้า”

จริงอยู่ที่ว่าการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้น สาเหตุอันดับต้น ๆ อาจเกิดจากคนขับรถใหญ่อยู่หลายครั้งหลายคราว ดังนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงมีการเปิดโรงเรียนสอนขับรถใหญ่ขึ้นมาอย่างมากมาย รวมทั้งทางองค์กรที่เป็นหัวหอกดูแล ก็ได้รับมอบหมายจากกระทรวงพลังงาน ให้อบรมและสอนการขับรถใหญ่อย่างถูกวิธีให้แก่คนขับรถของผู้ประกอบการขนส่งทางบกด้วย

แต่มีสิ่งหนึ่งที่บรรดาเถ้าแก่ขนส่งต่างมองข้ามไปว่า การซื้อรถใหญ่ที่มีสเปคของเครื่องยนต์ และช่วงล่างตรงกับการใช้งานก็จะช่วยทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงและลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้เป็นอย่างมากด้วยเช่นเดียวกัน

ขอย้อนไปก่อนหน้านี้ที่มีตัวอย่าง คือ มีผู้ประกอบการขนส่งรายหนึ่ง ได้เล่าให้กับทีมงาน BUS & TRUCK ฟังว่า “เมื่อบริษัทของตนได้ชนะการประมูลงานของราชการมา ก็ได้วิ่งตรงไปซื้อรถดัมพ์จากค่ายรถใหญ่ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งละเอียดของงานนั้นเป็นงานขุดดินจำนวนหลายร้อยไร่ไปถมที่เพื่อทำถนนทางหลวงหลายกิโลเมตร ซึ่งได้รับคำแนะนำว่า สเปคของรถใหญ่ที่เหมาะกับงานนี้มากที่สุด คือ รถใหญ่เครื่องยนต์น่าจะมีแรงม้าอยู่ที่ 240 แรงม้า และมีอัตราทดของเฟืองท้ายไม่ต้องสูงมากนัก ก็จะช่วยทำให้ประหยัดน้ำมันเป็นอย่างมาก แต่พอมาเห็นงานของจริง พบว่า เป็นบ่อลึก เมื่อรถดัมพ์บรรทุกดินแล้วต้องไต่เนินสูงเพื่อขึ้นสู่ถนนใหญ่ ปรากฏว่า รถอืดมาก เนื่องจากมีอัตราทดของเฟืองท้ายที่ต่ำ ถึงแม้ว่าจะมีแรงม้าที่สูงก็ตาม”

กรณี ดังกล่าวได้มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านรถใหญ่แนะนำว่า ต้องถมดินให้สูงขึ้นมา เพื่อที่จะทำให้รถดัมพ์ไม่ต้องใช้แรงมากเพื่อไต่ขึ้นสู่ถนนใหญ่ ไม่เช่นนั้นรถจะต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากเกินเหตุ และอาจจะทำให้เงินที่ได้จากการประมูลงานครั้งนี้ไม่คุ้มกับค่าจ้างเลย

จึงกล่าวได้ว่า เมื่อผู้ประกอบการขนส่ง ได้งานมาชิ้นหนึ่งก็ต้องศึกษาให้ละเอียดว่า การขนส่งเป็นไปในรูปแบบใด เหมาะแก่การใช้รถใหญ่ที่มีสเปคเป็นอย่างไร เพราะหากรถใหญ่ไม่ได้จ้างมาเพื่องานนี้ก็เป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ และโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนก็จะมีขึ้นได้ง่ายมาก ไม่คุ้มกับการที่เสียเงินส่งคนขับรถไปเรียนการพัฒนาคนขับให้สูงขึ้น หรือการซื้อรถใหญ่ที่มีราคาแพงเพื่อที่จะได้เหมาะกับงานที่ได้มา

ส่วนความเชื่อของบรรดาเถ้าแก่ขนส่งที่ได้รับฟังจากคนขับรถมาว่า รถใหญ่ญี่ปุ่นยี่ห้อนั้น ยี่ห้อนี้เหมาะกับการวิ่งยาวบนถนน ส่วนอีกยี่ห้อหนึ่งเหมาะกับการวิ่งขึ้นเขาและลงเขา และอีกยี่ห้อหนึ่งเหมาะกับการเป็นรถดัมพ์มากที่สุด ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคนขับมีความเคยชินกับงานที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน จึงเชื่อมั่นว่ายี่ห้อที่ตัวเองขับเหมาะกับงานที่ตัวเองทำ

ทั้งที่ตามความเป็นจริงแล้ว ในปัจจุบันนี้ รถใหญ่แทบทุกยี่ห้อ ต่างมีคุณภาพและสมรรถนะเท่าเทียมกัน แต่จะแตกต่างกันที่สเปคของเครื่องยนต์และช่วงล่างที่นำมาบรรทุกสินค้าอะไร และวิ่งบนถนนที่มีลักษณะเป็นเช่นไร

ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถใหญ่สักคันหนึ่ง ต้องศึกษาให้ละเอียดก่อน เพราะราคาของรถใหญ่ถือว่าแพงมาก ซึ่งมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไปทีเดียว

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Advertisement